ได้รับการอนุเคราะห์จากนิตยสาร
COP’S MAGAZINE
อินทรีเหนือเมฆ ะ ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุวล สิ่งที่สำคัญ คือการต้องหมั่นเติมความรู้ให้กับตัวเอง โดยฉพาพการอำนหนังสือไม่ว่าจะเรียนมาสูงหรือเรีบนมาน้อย ก็ต้องเติมความรู้ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของกฎหมาย เพราะนักข่าว ถือเป็นอาชีพที่ได้ช่วยหลือลังคม ได้ช่วยเหลือคน และยังให้ความรู้กับคน
กระทบไหล่อีกตำนานคนข่าว
//////////////////
อาชญากรรม “ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุวล” อดีตประธานชมรมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพอาชญากรรม เริ่มต้นอาชีพในวงการนักหนังสือพิมพ์ เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามกับ มานะ แพร่พันธุ์ บก.หนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” ทายาทคนเดียวของยอดนักประพันธ์เมืองไทย “ยาขอบ” ทำให้ได้รับโอกาสจากลูกชายเจ้าของบทประพันธ์อมตะ “ผู้ชนะสิบทิศ” ชักนำเข้าสู่เส้นทางสายงานสื่อสารมวลชนที่หนังสือพิมพ์บ้านเมือง สื่อไท แล้วย้ายไปอยู่มติชนยาวนานจวบจนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2557
“การที่ยังได้ทำงานข่าวที่รัก ถึงจะเกษียณแล้ว ถือว่าเป็นกำไรชีวิต ถ้ามองย้อนกลับไป ยังเคยคิดว่าชีวิตไม่ได้น่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่เขาให้โอกาสและส่งเสริม สิ่งที่สำคัญ คือการต้องหมั่นเติมความรู้ให้กับตัวเองโดยเฉพาะการอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเรียนมาสูงหรือเรียนมาน้อย ก็ต้องเติมความรู้ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของกฎหมาย เพราะนักข่าว ถือเป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือสังคม ได้ช่วยเหลือคน และยังให้ความรู้กับคน” ตวงศักดิ์ว่า
"การที่ยังได้ทำงานข่าวที่รัก
ถึงจะเกษียณแล้ว ถือว่าเป็นกำไรชีวิต"
การถ่ายภาพในสมัยนั้นอุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่าง ไม่ได้มีเทคโนโลยื
ดีตประธานชมรมผู้สื่อข่ว-ช่างภาพอาชญากรรม
ทันสมัย ตวงศักดิ์เล่ต่อว่า ต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองจากของจริง
ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุวล ที่คนข่าวภาคสนามเรียกกันจนคุ้นชิน
ว่า "นติ้ง" ในวัย 65 ปี พื้นเพเป็นคนกรุงเทพมหานคร
ทั้งการถ่าย การจำที่วัดแสง เรียกว่า จำจนซึมชับอยู่ในหัว ถ้าเจอแสง
เกิดและเติบโตยานบางนา ครอบครัวที่พ่อเป็นอาจารยใหญ่
แบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ต้องถ่ายใช่ค่เห่ไหร่ ถ่ายมวย ต้องใช้พิลมอะไร
โรงเรียนวัดบางนาใน วัยเด็กไม่ได้คิดว่าโตขึ้นจะอยากมี
สิ่งที่ยากที่สุดในช่วงนั้นที่จำได้คือ การถ่ายพลุ ต้องมีสายกดชัตเตอร์ เรา
อาชีพอะไร จำได้แต่ว่าช่วง 7-8 ขวบ มักจะหนีพ่อออกไปอ่านหนังสือ
ต้องอดทน ถ้ามันยิงพุ่งขึ้นมาแล้วกดถ่าย ไม่ทันแน่ เราต้องกะให้ได้ระยะ
พิมพ์ที่ร้านค้าจนถูกพ่อตี เพราะอยากเอาข่วมาเล่ให้คนอื่น ๆ ฟัง
1 ถึง 2 นาที แล้วค่อยกด เพราะมันต้องมีระยะทิ้งตัว แต่สิ่งเหล่านี้เป็น
ด้วยความที่เป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้อง 6 คน หลังเรียนจบ มศ.
ความรู้ติดตัว นอกจากนี้เวลาส่งภาพแต่ละครั้ง ถ้าไปต่างจังหวัด ต้องส่ง
ผ่านไปรษณีย์ กว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ กว่าจะมาถึงโรงพิมพ์ ยุ่งยากผิดกับ
3 ที่โรงเรียนวชิรรรมสาธิต สุขุมวิท 101 ไม่ได้เรียนต่อ ตอนนั้นบ้านอยู่
สมัยนี้เยอะ
ตรงข้ามกับ มานะ แพร่พันธุ์ บก.หนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ทายาท
คนเดียวของยอดนักประพันธ์เมืองไทย "ยาขอบ" เรียกว่าเป็นวาสนาที่
ผ่านการทำงานหลายสาย สายที่ชอบมากที่สุด เขาบอกว่า คือ
ได้เจอกันคงจะไม่ผิดนัก เพราะทำให้ได้มีโอกาสคลุกคลีและยิ่งรู้สึกชื่นชม
ตระเวนข่วอาชญากรรม วิ่งตระเวนจะแบ่งเป็น 3 สาย สายธน สายเหนือ
และได้รับโอกาสจากทายาทนักประพันธ์ชื่อดัง นำเข้าสู่เส้นทางสายงาน
สายใต้ สมัยนั้นเราจะมีจุดนัดพบ เที่ยงคืนหรือตี 1 ไปรวมกันที่ สน.ลุมพินี
สื่อสารมวลชน
ทั้งรถข่าว รถมูลนิธิ ใช้รหัสในการสื่สารทางวิทยุ บ้านเมืองจะใช้ว่า นกบิน
หลังเรียนจบ มศ.3 เจ้าตัวว่า ไม่ได้มีโอกาสเรียนต่อ เพราะช่วงนั้น
มีรหัสฉพาะตัวของเรา เวลาฟังเหตุถ้าจะเรียกเราก็จะใช้คำว่า นกบิน
แล้วตามด้วยรหัสเพื่อที่จะได้รู้ว่า กำลังคุยกับเรา ส่วนมากจะเป็นการ
ฐานะทางบ้านไคอยดี ต้องหยุดเรื่องการเรียนไป ความที่ได้มีโอกาสไป
รายงานทั่วไปว่า มีเหตุอะไร ถ้าเป็นสมัยนี้คงจะแจ้งกันผ่านทางไลน์ หาก
คลุกคลีบ้าน บกมานะ เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามกัน วันหนึ่งเขาจะก่อตั้ง
เทียบกันแล้ว ส่วนตัวคิดว่า การแจ้งผ่าน ว. เร็วกว่า เพราะแจ้งตั้งแต่
หนังสือพิมพ์บ้านเมืองที่ถนนวิภาวดีรังสิต สมัยนั้น มีอดีตนายกบรรทาร
รับแจ้งเหตุเลย เราต้องไปถึงก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด
ศิลปอาชา เป็นนายทุนให้ เลยซักชวนให้ไปทำงานด้วย เริ่มทำตั้งแต่ช่าง
ปรูฟ ค่อย ๆ ขยับไปทำงานในส่วนอื่น ๆ
คนข่วมากประสบการณ์เล่าย้อนถึงการทำงานในอดีตว่า เหตุที่นัก
ข่าวอาชญากรรมสมัยนั้นไม่อยากไปมากที่สุด คือ เหตุระเบิด เพราะไปก่อน
ตวงศักดิ์เล่าว่า เริ่มทำที่หนังสือพิมพ์บนเมืองตั้งแต่ปี 2518
ก็เสี่ยง ค่อยไปตอนที่เคลียร์พื้นที่แล้ว จำได้ว่า มีครั้งหนึ่ง ที่อันตรายมาก
ตั้งแต่การตรวจปรูฟ ก่อนจะย้ายไปอยู่ท้องมืด และเป็นช่างภาพ พร้อมยัง
คือ ตรวจพบรถบรรทุกมีระเบิด ที่ สนลุมพินี สามารถระเบิดได้ครึ่งเมือง
รับการผลักดันให้เป็นนักข่ว แต่พอได้ลองทำแล้ว รู้สึกว่าไม่ชอบ ชอบ
ในรถมีศพคนตายด้วย ชงภาพก็ไม่รู้ ไปถึงก็ขึ้นไปปืนกันบนรถ พอเจ้า
การถ่ายภาพมากกว่า
หน้าที่บอกว่า มีระเบิดอยู่บนรถ ต่งก็ถอยกรูดกัน นอกจากนี้ นักข่าว
ตะเวนจะถือคล้ายกันว่า ห้ามใส่เสื้อแดง เพราะจะมีเหตุไฟไหม้ทั้งคืน
"ข่าวแรกที่ได้ทำคือออกไปเก็บข่าวบรรยากาศการจราจร เขียนออก
มาได้ไม่ดี เพราะมันต้องใช้หัวสมอง ต้องเก็บข้อมูล เช่น สถิติ ของ
ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้ใครใส่มา จะมีเหตุติด ๆ กันในคืนเดียว
สน.พญาไท มีการจราจรเป็นอย่างไร มีสถิติจราจรอย่างไร คดีเกี่ยวข้อง
กับจราจร ก็รู้สึกว่ามันยาก ตอนนั้นจำได้ว่าอายุแค่ 21-22 ไม่ชอบเป็น
เขาทำอยู่บ้านเมืองได้ 15-16 ปี มีจุดเปลี่ยนให้ตัดสินใจลาออก
นักข่าว เลยกลับมาเป็นช่างภาพ ได้วิ่งทั้งสายกีฬ สายบันเทิง ไปทุกสาย
พร้อม บก.มานะ แพร่พันธุ์ออกไปสร้างหนังสือพิมฬไหม่ ชื่อ "สื่อไทย"
แต่เปิดได้ไม่กี่เดือน หนังสือพิมพ์ปิดตัว เขาจึงไปสมัครที่มติชน ถือเป็น
ถ่ายภาพเสร็จ ก็ล้างภาพแล้วก็ส่ง รู้สึกว่ามันใช่ มันสนุก เพราะไม่ต้อง
รับผิดชอบอะไรมาก ต่างกับนักข่าว ทำข่าวเสร็จยังต้องกลับมาเขียน ต้อง
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ของการเริ่มตันเป็นนักข่าวเต็มตัว
กลับมาหาช้อมูลเพิ่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นความคิดที่ผิดหรือเปล่าในตอนนั้น
เพราะถ้าเริ่มฝึกจริงจังกับการเป็นนักข่าวตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้อาจจะได้
ไปไกลกว่านี้"
"เดิมที่ย้ายที่มาอยู่มติชน ยังเป็นช่างภาพ และได้มีโอกาสทำข่าวใน
นอกจากบทบาทในหน้าที่ของนักข่วแล้ว หนุ่มใหญ่มากประสบ
เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง ปีแรก 2535 เจอเหตุ
การณ์ยังได้มีโอกาสเป็นประธาน ชมรมผู้สื่อข่วและช่างภาพอาชญากรรม
การณ์พฤษภาทมิฬ เหตุการณ์ปะทะกัน หลังจากนั้น ย้ยไปลงโต๊ะ
ปี 2532 ถึง 2533 สาเหตุที่ได้รับเลือก เจ้าตัวบอกว่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
อาชญากรรม รับผิดชอบวิ่งตะเวน ตอนนั้นก็เลื่อนขึ้นเป็นนักข่าว เหตุผล
ถูกมองเป็นคนธรรมะรรม์โม มีความสนใจทางสายบุญ มีความชื่อสัตย์
ที่ตัดสินใจ หัวหน้งานบอกว่า ถ้าเป็นนักข่าว มันจะสามารถแตกไลน์
มีศีลธรรม ไม่โกงภาระหน้าที่หลัก นอกจากการทาทุนเพื่อเป็นสวัสติการ
ไปได้หลายอย่างกว่า มิโอกาสเติบโต ตอนนั้นอายุเริ่มมากแล้ว ก็เริ่มคิด
ให้กับสมาชิกเป็นทุนการศึกษาให้กับบุตรหลานของสมาชิกแล้ว ยังมีเรื่อง
ก่อนจะตัดสินใจ ตกลง ลองดู"
ของการให้รางวัลการทำงานกับตำรวจ ยอมรับเลยว่า เป็นเรื่องที่ยากใน
ข่วประเภทอื่น ๆ ได้ เพราะทุกข่วจะอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือ
การเป็นนักข่วอาชญากรรม ถือว่าให้ประโยชน์ในการต่อยอดไปทำ
การตัดสิน เพราะตำรวจทุกคนทำงานหมด การทำงานของสื่อกับตำรวจ
ต้องพึ่งพากัน ตัดสินให้คนนี้ได้ อีกคนจะรู้สึกอย่างไร แต่รางวัลนี้ถือเป็น
การทำข่าวแบบสืบสวนสอบสวน ไปเจาะประเด็น แตกประเด็น ใช้หลัก
กำลังใจในการทำงานให้กับตำรวจ อย่างน้อยคนที่ทำงาน ก็จะรู้สึกว่า
การอย่างเดียวกัน แต่ระหว่างการเป็นช่างภาพกับการเป็นนักข่าว
สิ่งที่ทำมีคนเห็นคุณค่า
เขายอมรับว่า แตกต่างกันมากเมื่อมาทำเต็มตัว เพราะไม่ใช่แค่ไปทำข่าว
ทำงานอยู่มติชนจนเกษียณเมื่อปี 2556 ได้โอกาสต่ออายุงานให้อีก
ตามหมายเท่านั้น ต้องสามารถยกหูโทรศัพท์เช็กข่ว ต้องมีความสนิท
1 ปี จน 2557 ถือเป็นคนแรกของมติชนที่มีการต่ออายุงานให้
สนุมกับแหล่งข่าว สร้างความสัมพันธ์ เพราะเป็นเรื่องของความไว้เนื้อ
ทุกวันนี้ยังรับงานเขียน ทำข่วสกู๊ป เป็นผู้สื่อชำวฟรีแลนซ์ให้กับที่ต่าง ๆ
เชื่อใจในการให้ข้อมูล ต้องมีความจริงใจต่อกัน บางครั้งเจอแหล่งข่ว
ตามแต่จะจ้าง และความถนัด โดยเฉพาะงานเขียนเกี่ยวกับด้านศาสนา
บอกว่าข้อมูลที่ให้ เอไปลงข่วไม่ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็น
เป็นสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ และเป็นความตั้งใจ อยากมีส่วนช่วยเผยแพร
นักข่าวต้องมีวิธีการจะใช้ข้อมูลจากที่ได้มา ไปแกะรอยตามต่อ ใช้ข้อมูล
ที่ได้มาให้เป็นประโยชน์ แม้จะไสามารถเอาไปลงได้ว่า แหล่งข่าวพูด
ศาสนา
"การที่ยังได้ทำงานข่าวที่รัก ถึงจะเกษียณแล้ว ถือว่าเป็นกำไรชีวิต
อย่างนี้ ต้องมีวิธีในการนำเสนอ ไม่ให้กระทบกับตัวแหล่งข่าว ขณะเดียว
ถ้ามองย้อนกลับไป ยังเคยคิดว่าชีวิตไม่ได้นจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอบคุณ
กันนักข่าวก็ต้องได้งานด้วย
ผู้ใหญ่ที่เขาใโอกาสและส่งเสริม สิ่งที่สำคัญ คือการต้องหมั่นเติมความรู้
ต่อมาหนังสือพิมพ์มติชนตั้งโต๊ะเฉพาะกิจ ตวงศักดิ์ย้ายไปประจำ
ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะการอ่านหนังสื ไม่ว่าจะเรียนมาสูงหรือเรียนมา
และมีโอกาสได้ข่วที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ข่าวที่เขาบอกว่า สมบุกสมบัน
น้อย ก็ต้องเติมความรู้ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของกฎหมาย เพราะ
นักข่าว ถือเป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือสังคม ได้ช่วยเหลือคน และยังให้
และสอนอะไรให้กับเขาหลายอย่าง คื ข่าววัดพระธรรมกาย เพราะ
ได้ใช้วิชาหลายอย่างในการหาข่าว ทำข่าว ทั้งการปลอมตัว แฝงตัว และ
อื่นๆ "สมัยนั้น ผลต.อวาสนา เพิ่มลาภ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ความรู้กับคน"ตวงศักดิ์ว่า
ส่วนปัญหาเรื่องของการปลดคนออกในวงการสื่อจากวิกฤติเศรษฐกิจ
คดีนี้ ก่อนที่จะไปเป็น กกต. ตอนนั้นนักข่าวหลายสำนักเฝ้ากันที่กองปราบ
ตวงศักดิ์มองว่า จริงๆ แล้วปัญหานี้มันมีมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ใช่
ปราม ช่วงแรก ๆ ก็ยังแบ่งข่าวกัน ข่าวมันก็ออกมาเหมือนกันทุกฉบับ
เพิ่งจะมีในยุคนี้ ถึงกระนั้นอยากบอกสิ่งสำคัญ คือ ต้องทำตัวเองให้มี
จนผมโดนหัวหนเรียกไปต่อว่า ทำไมข่าวเหมือนกับฉบับอื่น ลอกกัน
ไม่งั้นจะส่งให้ไปทำข่าวทำไม ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแนววิธีการทำงาน ไปหัก
คุณภาพ ทำให้ในวงการมองว่ เรายังใช้งานได้ ถึงแม้จะถูกให้ออกจาก
งานที่หนึ่ง อย่างน้อยจะต้องมีอีกที่หนึ่งจ้างคุณ เพราะเขาจะเห็นศักยภาพ
หลังเพื่อนฝูง หามุมที่จะให้ได้ข่าวชีฟของตัวเอง ตอนนั้นผมสนิทกับ
เห็นสิ่งที่คุณมี
ตำรวจที่เป็นลูกน้อง ก็ไปคุยเตี๊ยมกับเขาว่า ถ้ามีข้อมูลเอกสารคำสั่งอะไร
ถ้าต้องเอามาปริ้นท์ หรือถ่ายอกสาร ให้ช่วยมาทำเหมือนเอกสารเสีย
ขยำทิ้ง ผมจะไปคุ้ยในตะกร้าถังขยะ ตอนนั้นก็มีหลายประเด็นที่เราได้
จากวิธีการแบบนี้ ข่าวได้ลงเป็นพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ จน
เพื่อนนักข่าวรู้ก็โกรธ ตอนหลังก็มีเอาคืน ให้ผมตกข่าวคนเดียว แต่ผม
ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะมองเป็นการทำงาน อย่างที่หัวหน้าบอก"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น